6 เรื่องควรรู้ก่อนทำป้ายหน้าร้าน

HIGHLIGHTS

  • ป้ายที่แสดง ชื่อ ยี่ห้อ หรือเครื่องหมายทางการค้า สำหรับการประกอบกิจการ การทำการค้าหรือโฆษณาเพื่อหารายได้จะต้องทำการยื่นเสียภาษีป้าย

  • การคำนวณภาษีป้ายจะคิดจากพื้นที่ของป้ายออกเป็นตารางเซนติเมตร โดยป้ายที่มีขอบเขตป้ายชัดเจนให้ใช้ด้านกว้างสุด x ด้านยาวสุด

  • การยื่นแบบประเมินเพื่อเสียภาษีป้ายจะทำในช่วงระยะเวลาไม่เกินวันที่ 31 มีนาคมของปีนั้น ๆ หากมีการติดตั้งป้าย แก้ไขป้าย ให้ยื่นแบบประเมินภาษีป้ายภายใน 15 วันหลังจากวันที่มีการเปลี่ยนแปลงป้าย


หลายร้านค้าอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าการทำป้ายร้านค้า หรือป้ายหน้าร้านมีค่าใช้จ่ายที่เราต้องทำการเสียภาษีป้ายด้วย ซึ่งจะมีรายละเอียดและค่าใช้จ่าย กฎต่าง ๆ ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งวันนี้ร้านติดดาวเราจะมาแบ่งปันความรู้เรื่องการทำป้ายหน้าร้าน เรื่องภาษีป้ายกัน


ป้ายแบบไหนบ้างที่ต้องเสียภาษีป้าย

ป้ายที่แสดง ชื่อ ยี่ห้อ หรือเครื่องหมายทางการค้า สำหรับการประกอบกิจการ การทำการค้าหรือโฆษณาเพื่อหารายได้ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของโฆษณา ตัวอักษร ภาพ หรือสัญลักษณ์ บนวัสดุใด ๆ ก็ตาม ด้วยการเขียน แกะสลัก จารึก หรือทำให้ปรากฏด้วยวิธีการอื่น ๆ ก็ตาม


ป้ายที่ได้รับการยกเว้นเสียภาษี

ป้ายที่ได้รับการยกเว้นภาษีป้าย มีอยู่หลากหลายประเภทด้วยกัน ทั้งจาก พ.ร.บ.ภาษีป้ายปี พ.ศ.2510 และฉบับที่ 2 ปี พ.ศ.2535

  1. ป้ายที่ติดอยู่กับสินค้า บรรจุภัณฑ์สินค้า ติดไว้ที่คน และป้ายที่ติดไว้ที่สัตว์

  2. ป้ายที่ติดอยู่ภายในตัวอาคาร หรือพื้นที่ส่วนตัว แต่ต้องมีขนาดไม่เกินตามที่กำหนด

  3. ป้ายที่ติดอยู่หน้าโรงมหรสพ เพื่อโฆษณามหรสพนั้น ๆ และป้าย ที่ติดบริเวณงานที่จัดขึ้นชั่วคราว

  4. ป้ายของหน่วยงานราชการ หน่วยงานที่ตั้งขึ้นโดยรัฐบาล ป้ายวัด และป้ายมูลนิธิ

  5. ป้ายของธนาคารบางแห่ง และบริษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

  6. ป้ายของโรงเรียนและสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ที่ตั้งอยู่ในบริเวณโรงเรียนและสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้น ๆ

  7. ป้ายของผู้ประกอบการเกษตร ที่เป็นผลผลิตจากการเกษตรของตนเอง

  8. ป้ายที่มีลักษณะเป็นล้อเลื่อน หรือติดอยู่กับรถยนต์ส่วนบุคคล รถจักรยานยนต์ร์ รถบดถนน หรือรถแทรกเตอร์ รวมถึงยานพาหนะอื่น ๆ ที่มีพื้นที่โฆษณาไม่เกิน 500 ตารางเซนติเมตร


อัตราในการคำนวณภาษีป้าย

การคำนวณภาษีป้าย คิดจากพื้นที่ของป้ายออกเป็นตารางเซนติเมตร โดยป้ายที่มีขอบเขตป้ายชัดเจนให้ใช้ด้านกว้างสุด x ด้านยาวสุด ส่วนป้ายที่กำหนดขอบเขตไม่ชัดเจน ให้นับจากขอบเขตของตัวอักษรที่อยู่ริมสุด คำนวณขนาดพื้นที่ป้ายได้ดังนี้

กว้าง x ยาว / พื้นที่ 500 ตร.ซม. = พื้นที่ที่ต้องเสียภาษี

ต่อมาเราจะมาคำนวณภาษีป้ายที่ต้องจ่ายสามารถคำนวณได้จาก 

พื้นที่ที่ต้องเสียภาษี x อัตราภาษี = ภาษีป้ายที่ต้องจ่าย

ซึ่งอัตราภาษีป้ายจะแบ่งออกตามลักษณะของสิ่งที่ปรากฏบนแผ่นป้ายเป็น 3 แบบด้วยกัน

1.ป้ายที่มีเฉพาะตัวอักษรภาษาไทยเท่านั้น

    • คิดอัตรา 5 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร

    • ป้ายที่มีข้อความเคลื่อนที่ได้ หรือเปลี่ยนเป็นข้อความอื่นได้ ให้คิดอัตรา 10 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร

2.ป้ายที่มีอักษรภาษาไทยปนกับภาษาต่างประเทศ หรือเครื่องหมายและภาพ และอักษรไทยทั้งหมดต้องอยู่เหนือส่วนอื่น 

    • คิดอัตรา 26 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร

    • ป้ายที่มีข้อความ เครื่องหมาย หรือภาพที่เคลื่อนที่ได้ หรือเปลี่ยนเป็นข้อความ เครื่องหมาย หรือภาพอื่นได้ ให้คิดอัตรา 52 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร

3.ป้ายที่ไม่มีภาษาไทย ไม่ว่าจะมีภาพหรือเครื่องหมายอื่น ๆ หรือไม่ และป้ายที่มีภาษาไทยบางส่วน หรืออักษรไทยทั้งหมดอยู่ต่ำกว่าอักษรภาษาต่างประเทศ 

    • คิดอัตรา 50 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร

    • ป้ายที่มีข้อความ เครื่องหมาย หรือภาพที่เคลื่อนที่ได้ หรือเปลี่ยนเป็นข้อความ เครื่องหมาย หรือภาพอื่นได้ ให้คิดอัตรา 52 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร


*เพิ่มเติมสำหรับป้ายที่ถูกประเมินภาษีป้ายน้อยกว่า 200 บาท ให้ปัดเป็นการจ่ายภาษีป้าย 200 บาท

*พื้นที่ป้ายที่คำนวณได้ หากมีเศษเกินแต่เกินกึ่งหนึ่งของ 500 ตารางเซนติเมตร ให้คิดเป็น 500 ตารางเซนติเมตร


การยื่นแบบประเมินเพื่อเสียภาษีป้าย

เมื่อคุณต้องการติดตั้งป้ายร้านหรือป้ายอื่น ๆ ที่เข้าข่ายต้องเสียภาษีป้าย ก่อนการติดตั้งจะต้องทำการแจ้งแก่เจ้าหน้าที่ที่สำนักงานเขต เทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบลที่ตั้งป้าย ซึ่งช่วงระยะเวลาในการยื่นจะต้องยื่นประเมินเพื่อเสียภาษีป้ายไม่เกินวันที่ 31 มีนาคมของปีนั้น ๆ หากมีการติดตั้งป้าย แก้ไขป้าย หรือเพิ่มป้าย หลังจากวันที่ 31 มีนาคมของปีนั้น ๆ ให้ยื่นแบบประเมินภาษีป้ายภายใน 15 วันหลังจากวันที่มีการเปลี่ยนแปลงป้าย

เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นแบบประเมินเพื่อเสียภาษีป้าย (ในกรณีที่เป็นผู้ยื่นใหม่)

  1. ใบอนุญาตติดตั้งป้าย ใบเสร็จรับเงินค่าทำป้าย

  2. รูปป้าย พร้อมขนาดกว้าง x สูง

  3. สำเนาทะเบียนบ้าน

  4. บัตรประจำตัวประชาชน

  5. กรณีเจ้าของป้ายเป็นนิติบุคคลให้แนบหนังสือรับรองสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ทะเบียนพาณิชย์และหลักฐานของสรรพากร เช่น ภ.พ.01, ภ.พ.09, ภ.พ.20

  6. หนังสือมอบอำนาจ (กรณีไม่สามารถยื่นแบบได้ด้วยตนเอง พร้อมติดอากรแสตมป์ตามกฎหมาย)

  7. แบบเสียภาษีป้าย (ภ.ป.1) สำหรับผู้เสียภาษีป้ายรายเก่า


การชำระเงินภาษีป้าย

เมื่อได้รับหนังสือแจ้งประเมินภาษีป้ายแล้ว ให้ดำเนินการชำระภาษีป้ายภายใน 15 วัน ได้ที่สำนักงานเขต (ฝ่ายรายได้) ที่ธนาคารกรุงไทย ผ่าน ATM ธนาคารกรุงไทย และ Internet Banking ธนาคารกรุงไทย


บทลงโทษหากไม่ปฏิบัติตามพ.ร.บ.ภาษีป้าย

  1. หากจงใจไม่ยื่นแบบประเมินภาษีป้าย ต้องระวางโทษปรับปรับตั้งแต่ 5,000-50,000 บาท

  2. หากไม่เสียภาษีป้ายภายในวันที่กำหนด ต้องระวางโทษปรับวันละ 100 บาท

  3. หากไม่แจ้งการรับโอนป้าย หรือไม่แสดงหลักฐานการเสียภาษีป้าย ณ สถานประกอบการค้าหรือสถานประกอบการ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 1,000-10,000 บาท

เรื่องภาษีป้ายร้านค้าอาจเป็นเรื่องที่หลายคนมองข้ามหรือไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะต้องทำการยื่นเรื่องเพื่อประเมินว่าจะต้องเสียภาษีเท่าไหร่ ซึ่งในการเสียภาษีป้ายร้านค้านั้นจะคำนวณจากความกว้าง x ยาวและคำนวณออกมาเป็นตารางเซนติเมตร และทำการยื่นเรื่อง ซึ่งช่วงระยะเวลาในการยื่นประเมินเพื่อเสียภาษีป้ายจะไม่เกินวันที่ 31 มีนาคมของปีนั้น ๆ หากมีการติดตั้งป้าย แก้ไขป้าย หรือเพิ่มป้าย หลังจากวันที่ 31 มีนาคมของปีนั้น ๆ ให้ยื่นแบบประเมินภาษีป้ายภายใน 15 วันหลังจากวันที่มีการเปลี่ยนแปลงป้าย

แหล่งที่มา

http://www.bangkok.go.th/dindaeng/page/sub/830/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2

https://www.officemate.co.th/blog/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2/